คุุณสมบัติคลาร่าพลัส ซันคลาร่า สั่งสินค้า โทร.08 6667 3717 จูซันคลาร่า



   ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มสุภาพสตรีทั่วประเทศ  เพื่อคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภายในของผู้หญิง รวมทั้งผิวพรรณ ช่วยลดสิว ฝ้า กระ รอยจุดด่างดำบนใบหน้า ช่วยกระชับมดลูก และเพิ่มความขาวใสและความเต่งตึงแก่ผิวพรรณ ผลิตภัณฑ์ซันคลาร่า(Sunclara) เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากธรรมชาติ ได้รับเครื่องหมายจาก อย. ท่านจึงสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน 
สนใจผลิตภัณฑ์ในราคาพิเศษหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 



สั่ง คลาร่าพลัส Clara Plus+
ซันคลาร่า Sunclara ราคาสมาชิก
คุณจู ซันคลาร่า (ชนิษฐ์กานต์)
Tel .08 6667 3717, 08 9772 3592  


ชื่อสินค้าซันคลาร่ารายละเอียด : 
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ช่วยลดสิว กระฝ้า ริ้วรอยด่างดำ ช่วยกระชับมดลูกและเพิ่มความขาวใสและความเต่งตึงแก่ผิว ผลิตภัณฑ์ ซัน คลาร่า ช่วยให้ผิวสวย หน้าใส ภายในกระชับ ดับกลิ่น
เลขที่ อย. 13-1-06950-1-0015  

ขนาดบรรจุ  30 แคปซูล  ต่อ 1 กล่ิอง
ราคาขาย  1,100 บาท
ส่งฟรีทั่วประเทศไทย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซันคลาร่า 
อาหารเสริม สำหรับผู้หญิง  ประกอบ ด้วยสารอาหารที่ออกฤทธิ์ กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศ จึงมีผลทำให้ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อที่ควบคุมระบบการทำงานของร่างกายเกิดความ สมดุล
วิธีการรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล ก่อนนอน 
น้ำ้หนักเกิน 55 กก. 2 แคปซูล ก่อนนอน ขนาดบรรจุ ใน 1 กล่อง ประกอบด้วย ซันคลาร่าจำนวน 2แผง แผงละ 15 แคปซูล บรรจุชีลล์อย่างดี  อย.เลขที่ 13-1-06950-1-0015 
 ส่วนประกอบสำคัญ  โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง   34.67% สารสกัดจากทับทิม  15.00%  คอลลาเจนจากปลา 13.67% สารสกัดจากเปลือกสน  8.83% Alpha  Lipoic  Acid 6.16% สารสกัดจากชาเขียว 5.00% แคปซูล16.67% สารอาหารเหล่านี้ออกฤทธิ์ กระตุ้นการ สร้างฮอร์โมนเพศ ควบคุมฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ ที่ควบคุมระบบการทำงานทุกส่วนของร่างกาย 
ส่วนประกอบที่สำคัญ มีประโยชน์ ดังนี้
โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง มีฤทธิ์แก้ปวดประจำเดือน ช่วยให้รอบเดือนปกติ ลดอาการสวิงสวายในสตรีวัยทอง,รักษาระดับน้ำตาลแก้อาการตะคริวที่กล้ามเนื้อขาทำให้ช่องคลอดมีน้ำเมือกหล่อลื่น,เสริมโครงสร้างกระดูก และเนื้อเยื่อคอลลาเจน 
สารอาหารจากถั่วเหลืองสกัด ที่มีการวิจัยศึกษามากคือ
Genistein และ Daidzein  ซึ่งเป็นสาร Isofalvones 
ที่อยู่ในกลุ่ม Bioflavonoes  ซึ่งทั้งคู่นี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก
ช่วยป้องกันไม่ให้ไขมัน LDL  ทำปฏิกริยากับออกซิเจน 
 และช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล
สารสกัดจากทับทิม  มีสิทธิภาพในการป้องกันอนุมูลอิสระสูง, ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
คอลลาเจน  เป็นโปรตีนที่ทำใหเกิดความสปริงตัวของผิวหนัง ให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน กระชับ
สารสกัดจากเปลือกสน  ช่วยให้ผนังเส้นเลือดโดยเฉพาะเส้นเลือดดำ(Veins)มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 
กรดอัลฟ่าไลโปอิค  เป็น สารจำเป็นของร่างกาย สำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระ เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปกรดนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูต้าไธโอน ทำให้ร่างกายสามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระทำให้ผิวขาวสว่างขึ้นด้วย
สารสกัดจากชาเขียว  ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, ป้องกันเบาหวานช่วยให้น้ำหนักลดลง, ป้องกันความผิดปกติของผิวหนังป้องกันโรคParkinsonและAlzheimer
คำเตือน
** เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน รวมทั้งสตรีที่ยังไม่มีประจำเดือน ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ

มั่นใจ คลาร่าพลัส ซันคลาร่า ผ่านการรับรองจาก
รับรองซันคลาร่ารับรองซันคลาร่า



ประโยชน์ของโปรตีน สกัดจากถั่วเหลือง



โปรตีน เป็นหนึ่งในอาหารหลัก หมู่ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย สำหรับการเจริญเติบโต  เสริมสร้างภูมิต้านทานและซ่อมแซมส่วนที่บกพร่องของร่างกายให้เป็นปกติ แหล่งของโปรตีนที่ได้จากพืชที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ   ถั่วเหลือง และปัจจุบันได้มีการสกัดเอาเฉพาะ โปรตีน จาก ถั่วเหลืองหรือที่เรียกว่า Isolated Soy Protein มาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายชนิด เช่นอาจจะสกัดมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดผง เพื่อให้รับประทานได้ง่าย  เป็นต้น โปรตีน สกัดจากถั่วเหลืองจะมีคุณภาพสูง  ให้กรดอะมิโนต่างๆรวมทั้ง กรดอะมิโน จำเป็น ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง มีปริมาณ โปรตีน สูงจึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ ( มังสวิรัติและผู้รับประทานเจ )
นอกจากนี้ในถั่วเหลืองมีสาร Isoflavone Phytoestrogens ถือเป็นฮอร์โมนจากพืช นอกจากจะมีประโยชน์ ในสตรีวัยหมดประจำเดือนแล้ว ยังช่วยในเรื่องการป้องกัน หลอดเลือด แข็งตัวได้  องค์การอาหารและยาของอเมริกา (Food and Drug Administration, FDA ) และสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกา (American Heart Association, AHA)ได้แนะนำให้กิน โปรตีน จาก ถั่วเหลือง 25 กรัม ต่อวันและให้ โปรตีนจาก ถั่วเหลือง เป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มี ไขมันอิ่มตัวและ โคเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งจะลดความเสี่ยงของ โรคหัวใจ และ หลอดเลือด
นอกจากนี้แล้วการรับ ประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองซึ่งมีไอโซฟลาโวน เป็นส่วนประกอบและ มีสูตรโครงสร้างคล้ายเอสโตรเจน อย่างสม่ำเสมอ อาจ จะเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและอาจจะช่วยลดอาการร้อนวูบวาบที่เกิดจากภาวะ หมดประจำเดือนได้



ทับทิม POMEGRANATE   ( Punica granatum L. ) 
ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ทับทิม สามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน)  ทับทิม เป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำ ทับทิม มาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่าทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่าง  นั้น รวมกันอยู่ใน ทับทิม ทับทิม เป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย  และทำเป็นผลิตภัณฑ์ ไปทั่วโลก ใน ทับทิม มี สารต้านอนุมูลอิสระ หลายชนิด ซึ่งมีมากทั้งใน เปลือก เมล็ด และน้ำ ทับทิม ได้แก่ polyphenols, anthocyanins,  anthrocyanidins, ellagic acid derivatives, และ hydrolyzable tannins
คุณประโยชน์ของ ทับทิม ในตำราแพทย์สมัยโบราณ เปอร์เซีย
ในผล ทับทิม มีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้ง แมกนีเซียม และ แคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อ ระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่า ทับทิม มีประโยชน์มากมาย
คุณประโยชน์ ทับทิม จากการวิจัยทางการแพทย์
1. ทับทิม มี สารต้านอนุมูลอิสระ หลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก (อ้างอิงที่ 1 )
2. สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัวซึ่งจะให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดตามมา ทั้งในคนและในหนูทดลอง ( อ้างอิงที่ 2, 3  )
3. ทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสมแล้วซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีแล้ว  มีความหนาตัวลดลง และ ลดไขมัน ที่สะสมลงอีกด้วยในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 4)
4. บำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็น โรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้นและลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ (อ้างอิงที่ 5)
5. ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 5%  ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง ถ้ารับประทานน้ำ ทับทิม วันละ 50 ซีซี เป็นเวลาสองสัปดาห์  ( อ้างอิงที่ 6 )
6. บำรุงตับ ป้องกันการเป็นพิษต่อตับ ได้ ( Hepatoprotectiv effect ) ( อ้างอิงที่ 7 )
7. สารต้านอนุมูลอิสระ จากน้ำ ทับทิม มีผลยับยั้งเซลล์ มะเร็งเต้านม ของมนุษย์ ( Human breast cell )
8. สารสกัดจาก ทับทิม ช่วยยับยั้งเซลล์ มะเร็งต่อมลูกหมาก ของมนุษย์ ทั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจาย  ( อ้างอิงที่ 9 )  และมีงานวิจัยที่แนะนำให้กินหวังผลในการป้องกัน มะเร็งต่อมลูกหมาก ( อ้างอิงที่ 10 )
เอกสารอ้างอิง
1. Studies on the antioxidant activity of pomegranate (Punica granatum) peel and seed extracts using in vitro models. J Agric Food Chem 2002 Jan 2;50(1):81-6
2. Pomegranate juice supplementation to atherosclerotic mice reduces macrophage lipid peroxidation, cellular cholesterol accumulation and development of atherosclerosis. J Nutr 2001 Aug;131(8):2082-9
3. Pomegranate juice flavonoids inhibit low-density lipoprotein oxidation and cardiovascular diseases: studies in atherosclerotic mice and in humans. Drugs Exp Clin Res 2002;28(2-3):49-62
4. Pomegranate juice consumption reduces oxidative stress, atherogenic modifications to LDL, and platelet aggregation: studies in humans and in atherosclerotic apolipoprotein E-deficient mice. Am J Clin Nutr 2000 May;71(5):1062-76
5. Effects of pomegranate juice consumption on myocardial perfusion in patients with coronary heart disease. Am J Cardiol. 2005 Sep 15;96(6):810-4
6. Pomegranate juice consumption inhibits serum angiotensin converting enzyme activity and reduces systolic blood pressure. Atherosclerosis 2001 Sep;158(1):195-8
7. Studies on antioxidant activity of pomegranate (Punica granatum) peel extract using in vivo models. J Agric Food Chem 2002 Aug 14;50(17):4791-5
8. Chemopreventive and adjuvant therapeutic potential of pomegranate (Punica granatum) for human breast cancer. Breast Cancer Res Treat 2002 Feb;71(3):203-17
9. Pomegranate extracts potently suppress proliferation, xenograft growth, and invasion of human prostate cancer cells. J Med Food. 2004 Fall;7(3):274-83.
10. Prostate cancer prevention through pomegranate fruit. Cell Cycle. 2006 Feb;5(4):371-3. Epub 2006 Feb 15.




คอลลาเจนคืออะไร ??
คอลลาเจนคือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ โปรตีนแห่งความงามที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ หากอยากลองสัมผัสความตึงของคอลลาเจนโปรตีน ลองจับแก้มเด็กตัวเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันที ถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม หรือ ดูเด็กวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาว จะเห็นว่าผิวพรรณตึงเปรี๊ยะทีเดียว ปัจจุบันนี้จะมีการพูดถึง คอลลาเจน กันอย่างกว้างขวางในวงการเครื่องสำอาง และ ความงาม เป็นภาษากรีก
คอลลาเจน เป็นภาษากรีก แปลว่า กาว ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมเซลล์แต่ล่ะเซลล์เข้าด้วยกัน คอลลาเจนโปรตีนมีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา จะอยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรง และเรียบเนียน และอยู่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ "อิลาสตินในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงสร้างของผิว และทำให้ผิวเต่งตึง อิลาสตินจะมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว และทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย
น่าเสียดายที่ภายหลังอายุ 20 ปี คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง ทำให้ชั้นผิวหนังมีการยุบตัวลง ต้นเหตุของความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณ ริ้วรอยแรกจะเป็นรอยตีนกา เพราะผิวหนังรอบดวงตา มีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวง่ายกว่าที่อื่น การรับประทานคอลลาเจนโปรตีน จะช่วยชะลอความเหี่ยวตรงนี้ และลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วได้ คอลลาเจนมีคุณสมบัติ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับไม่หย่อนยาน ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น อีกทั้งยังบำรุงเล็บ และเส้นผมให้มีสุขภาพดีอีกด้วย
การเสริมสร้างคอลลาเจนด้วยการรับประทาน
มีการนำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลบางประเภท ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้างของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ (Enzymatic Hydrolysis) ,มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางหาย การนำสารสกัดโปรตีนคอลลาเจน เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิว และลดริ้วรอยนั้น ปกติทำได้ 2 วิธีคือ โดยการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ โดนการฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ วิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีการที่สะดวกกว่า ผลที่ได้รับจากการบริโภคคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังอย่างได้ผล และทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มเนียนขึ้น
คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มาก ดังนั้นคอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ส่วนครีมต่าง ๆ ที่มีขายตามท้องตลาด ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ก็จะเป็นการผลักคอลลาเจนให้อยู่ได้แค่ชั้นหนังกำพร้า แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัวมัน ทำให้ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่สามรถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจน จะต้องเข้าสู่ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และการรับประทานเท่านั้น

การใช้คอลลาเจน

ริ้วรอยตื้นขึ้น

ผิวที่หย่อนยานกระชับขึ้น

ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น

ผม และ เล็บ แข็งแรง และ หนาขึ้น



  

สารสกัดจากเปลือกสน (Pine Bark Extract)
ในที่นี้หมายถึง เปลือกของต้นสนมาริไทม์ในประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง 
(Super Antioxidation)   
เเละยังเสริมฤทธิ์การทำงานของวิตามิน C เเละวิตามิน E ช่วยป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา 
รวมทั้งปัจจัยภายนอกต่างๆ อันเป็น  สาเหตุของความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น หลอดเลือด หัวใจ ดวงตา ผิวหนัง 
รวมไปถึงระบบประสาท เป็นต้น  สารสกัดที่ได้จากเปลือกสน คือ โปรเเอนโธชัยยานิดีน
(Oligomeric Proanthocyanidin Complexes - OPC) หรือพิกโนจีนอล (Pycnogenol) นอกจากสามารถสกัดได้จากเปลือกสนเเล้ว 
ยังสามารถสกัดได้จากเมล็ดองุ่น เมล็ดลำไย เมล็ดทุเรียน เป็นต้น 
นอกจากจะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดขอด เเละการอุดตันของลิ่มเลือด 
โดยจะเข้าไปเสริมความเเข็งเเรงของหลอดเลือด ซึ่งทำให้เกิดความยืดหยุ่น ไม่เปราะเเละเเตกร้าว 
นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน อัมพาต ยังช่วยให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้มากขึ้น เเถมยัง 
ช่วยลดภาวะเเทรกซ้อนจากการติดเชื้อ เเขนขาลีบเเละกล้ามเนื้ออ่อนเเรงอีกด้วย





กรดอัลฟาไลโปอิก 
(Alpha Lipoic Acid ; ALA)
กรดอัลฟาไลโปอิก คืออะไร (What's ALA)
กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALAเรียกสั้นๆว่ากรดไลโปอิก หรือบางคนรู้จักในชื่อ Thioctic acid มีชื่อทางเคมี คือ 5-(1,2-dithiolan-3-yl)pentanoic acid 
กรด อัลฟาไลโปอิกเป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายวิตามิน โดยทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่น ๆ ให้เป็นพลังงาน โดยปกติร่างกายเราสามารถสังเคราะห์กรดอัลฟาไลโปอิคได้เองอยู่แล้วในปริมาณคง ที่ ซึ่งร่างกายเราผลิตได้ในจำนวนที่เพียงพอต่อการช่วยไมโตคอนเดรียเปลี่ยน กลูโคสไปเป็นพลังงานเท่านั้น ไม่ได้ผลิตให้เหลือพอที่จะใช้ต่อต้านความเสื่อมชราของเซลล์ หรือเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย เนื่องจากกรดอัลฟาไล โปอิคมีบทบาทหลักในการย่อยเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงมีผลช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น 
นอกจากนี้กรดอัลฟาไลโปอิก ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “Universal Antioxidant” เนื่อง จากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซีอี, Glutathione หรือ Co-enzyme Q10 ให้กลับมาอยู่ในรูปที่ใช้งานได้อีก หลังจากที่ใช้ในการกำจัดอนุมูลอิสระไปแล้ว ด้วยคุณสมบัติของกรดอัลฟาไลโปอิก คือ สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในชั้นลึกสุดของเซลล์ระดับ DNAจึงสามารถแทรกซึมไปชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ทั่วเซลล์ในร่างกาย ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น CoQ10 ที่ละลายได้เพียงในส่วนน้ำมันในร่างกาย ทำให้กรดอัลฟาไลโปอิคมีคุณสมบัติเหนือกว่า 4-5 เท่า และมีฤทธิ์แรงกว่า วิตามินอี และวิตามินซี 50 เท่า
ผลกระทบข้างเคียง (side effect)
1. การรับประทานกรดอัลฟาไลโปอิกในปริมาณเล็กน้อย ( 5 - 20 mg/day) จะไม่มีผลกระทบใดๆต่อร่างกาย ถ้ารับประทานในปริมาณสูง อาจพบอาการเหล่านี้ 
คลื่นไส้ 
ท้องไส้ปั่นป่วน
มีอาการอ่อนเพลีย 
ร่ายกายถูกกระตุ้นมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้นอนไม่หลับ
2. กรดอัลฟาไลโปอิก มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด คือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้ ดังนั้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานควรรับประทานภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ซึ่งถ้าผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานกรดอัลฟาไลโปอิก แพทย์อาจสั่งลดปริมาณของยาอินซูลิน หรือยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
แหล่งอาหารที่มี ALA ( food source )
แหล่งอาหารธรรมชาติที่พบว่ามีกรดอัลฟาไลโปอิคในปริมาณสูง ได้แก่ ยีสต์ , เนื้อแดงเครื่องใน เช่น หัวใจตับ เป็นต้น และพบปริมาณน้อยในผักผลไม้บางชนิด เช่น มันฝรั่งแครอทผักโขม
ประโยชน์ของ ALA ( Benefits)
1. ต่อต้านอนุมูลอิสระในเซลล์ได้ทั่วร่างกายและมีฤทธิ์แรงกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ คือมีฤทธิ์แรงกว่า CoQ10 ถึง 4-5 เท่า และแรงกว่าวิตามินอี วิตามินซี 50 เท่า
2. ช่วยทำให้สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆที่อยู่ในร่างกาย นำกลับมาใช้ใหม่ในร่างกายได้อีกครั้ง เช่น ทำให้กากของวิตามินอี วิตามินซี วิตามินเอ กลูตาไธโอน CoQ10 และอื่นๆ ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง 
3. ช่วยต่อต้านการอักเสบที่ปลายประสาท มีส่วนช่วยเรื่องระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นสารที่ช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ 
4. ช่วยต่อต้านอนุมูอิสระในบริเวณสมองของเราได้ดีที่สุด ช่วยป้องกันโรคทางสมองต่างๆ 
5. ลดการอุดตันในหลอดเลือด ป้องกันอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ทำให้หลอดเลือดแดงที่แข็งเปราะ กลับมาใช้งานได้ตามปกติ 
6. ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดีเยี่ยม กรดอัลฟาไลโปอิกจึงเป็นสารที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนักของผู้เชี่ยวชาญด้านการ ลดน้ำหนักทั่วโลก และยังช่วยลดอนุมูลอิสระระหว่างการออกกำลังกายได้ จึงทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น 
7. ช่วยเพิ่มระดับสารกลูตาไธโอนในตับ จึงช่วยล้างพิษตกค้างในร่างกายออกไปได้อย่างรวดเร็ว และมีผลต่อการลดจุดด่างดำที่ผิวหนัง และชะลอความเสื่อมที่ผิวหนังได้ดีเยี่ยม 
8. กรดอัลฟ่าไลโปอิคนอกจากใช้รับประทาน ในต่างประเทศต่างนิยมนำมาผสมในครีมลดริ้วรอย เพราะมีคุณสมบัติชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีกว่าสารตัวอื่น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดขนาดรูขุมขน ลดการทำลายจากรังสียูวีได้ดีเยี่ยม 
9. ช่วยลดริ้วรอยทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งมีการทดลองในกลุ่มตัวอย่างยืนยันว่า กรดอัลฟาไลโปอิกช่วยลดริ้วรอยตื้นๆได้มากกว่า 50% อีกทั้งยังทำให้แผลเป็นเนียนเรียบและหายเร็วขึ้น โดยมีการะคายเคืองน้อยกว่า กรดวิตามินเอ (Tretinoin) วิตามินซี และ AHA 
10. เป็น chelating agent โดยกรดอัลฟาไลโปอิกจะไปจับกับสารโลหะหนักในร่างกาย   เช่น arsenic, cadmium, lead, mercury แล้วขับออกจากร่างกาย จึงช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้ได้รับความเสียหายจากโลหะหนักเหล่านี้ได้ 
11. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับผู้ป่วย HIV และช่วยป้องกันร่างกายจากเซลล์มะเร็ง 
12. ป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว โดยกรดอัลฟาไลโปอิกจะป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของโคเลสเตอรอล ชนิด LDL ( LDL cholesterol) 
13. ป้องกันโรคต้อกระจก มีงานวิจัยจาก University of California พบว่าการรับประทานกรดอัลฟาไลโปอิกในปริมาณ 25 mg/kg body weight จะสามารถป้องกันโรคต้อกระจกได้ 60%



ชาเขียว(Green Tea Extract) 
Super AntiOxidant

 "ขาดอาหารสามวันยังดีเสียกว่า ขาดชาเพียงวันเดียว

(สุภาษิตจีนโบราณ)
มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว  อะไรคือเครื่องดื่มยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก
บางคนตอบว่าน้ำดำยี่ห้อดัง แต่แท้จริงคือ น้ำเปล่า แต่อะไรคืออันดับสอง 
คำตอบที่ถูกต้องคือ ชา หรือ ฉาในภาษาจีนกลาง หรือ TEA เป็นเครื่องดื่มที่มนุษย์รู้จักกันมากว่า 5,000 ปี ต้นกำเนิดของชาเริ่มต้นที่เมืองจีน จากนั้นก็แพร่หลายไปทั่วโลกแบบทุกวันนี้
ชาเขียวกับคนญี่ปุ่นเรียกได้ว่าเป็นของคู่กันมานาน เป็นเครื่องดื่มประจำมื้ออาหารของชาวญี่ปุ่น ใครที่ชมชอบอาหารญี่ปุ่นก็มักจะได้จิบชาไปพร้อม ๆ กับอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารสุขภาพดีชาติหนึ่ง คนญี่ปุ่นจัดว่าเป็นคนสูบบุหรี่จัดมาก แต่อัตราการเป็นมะเร็งปอดกลับไม่มีอัตรามากเท่าที่ควร มีการวิจัยและยอมรับว่าเกิดจากสารสำคัญที่อยู่ในชาเขียวที่มีฤทธิ์ปกป้องเซลล์ไม่ให้เป็นมะเร็ง 
ร่างกายเราทุกวันนี้ได้รับสารทำลายเซลล์ที่เรียกว่า อนุมูลอิสระเป็นตัวสร้างปัญหาให้ร่างกายของเราเกิดโรคต่าง ๆ ที่ไม่ติดต่อ ทำให้เซลล์เราเสื่อมลงอย่างช้า ๆ จนเกิดโรคที่รุนแรง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ ความดันสูง เบาหวาน
ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL
ชามีหลายประเภท ชาดำ (Black Tea) ชาอู่หลง และชาเขียว วันนี้เรามาดูเรื่องราวของ
ชาเขียว (Camellia Sinensis) กันก่อน ซึ่งตอนนี้แซงหน้ารุ่นพี่ในชื่อเสียงของการเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ป้องกันมะเร็ง ปกป้องเซลล์จากโรคร้ายต่าง ๆ และช่วยเผาผลาญลดน้ำหนักได้ด้วย
สารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) คือตัวที่มากำจัดเจ้าอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามิน เกลือแร่ ที่มีมากในพืชผัก ผลไม้สด ความเสี่ยงจากโรคดังกล่าวข้างต้นก็จะลดน้อยลง
แต่ชาเขียวเป็นยิ่งกว่าสารต้านอนุมูลอิสระธรรมดา เพราะชาเขียวถูกจัดให้เป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์ (Super Antioxidant) เพราะตัวมันเองมีประสิทธิภาพสูงกว่าสารต้านอนุมูลอิสระทั่วไป
เพราะส่วนประกอบสำคัญในใบชาเขียวมีสารธรรมชาติตัวหนึ่งคือ โพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ตัวโพลีฟีนอลถือเป็นหัวใจสำคัญของชาเขียวที่แตกต่างจากชาดำ เพราะชาดำจะต้องผ่านกระบวนการตาก อบแห้ง ความร้อนทำให้สาระสำคัญหายไป ก่อนที่เราจะได้นำมาชงดื่ม แต่เราจะได้คาเฟอีนแทน
โพลีฟีนอล ช่วยยับยั้งสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ไนโตรซามีน(สารก่อมะเร็ง) คอยต่อสู้กับอนุมูลอิสระแล้วทำให้มันหมดฤทธิ์ลงไม่มีโอกาสไปทำร้ายเซลล์ดี ๆ ของเรา
ข้อเด่นของชาเขียวอีกประเภทหนึ่งคือช่วยลดไขมันในร่างกายด้วยการเพิ่มการเผาผลาญเพิ่มขึ้น สาว ๆ มักจะได้ยินข้อเด่นของชาเขียวด้านนี้ได้ดี เป็นการช่วยการเผาผลาญ ลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง และช่วยลดไขมันในเลือดได้ด้วย
คุณสมบัติที่สร้างชื่อเสียงที่สุดของชาเขียวคือ ต่อต้านและป้องกันมะเร็ง มีผลงานวิจัยที่บอกถึงการนำเอาชาเขียวสกัด(ไม่ใช่ชาเขียวในตู้แช่ หรือชาเขียวแบบชงดื่ม)ไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งในห้องทดลอง ผลปรากฏว่า ชาเขียวสกัดสามาหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
ด้านด้อยของชาเขียวมีบ้าง เพราะขึ้นชื่อว่าชาก็ต้องมีคาเฟอีนเป็นของคู่กัน คาเฟอีนทำให้ระคายกระเพาะ นอนไม่หลับ เพราะชาเขียวหนึ่งถ้วยจะมีคาเฟอีนประมาณ 76 มิลลิกรัม เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มซ่าน้ำดำมีประมาณ 40 -70 มก. กาแฟชงจะมีประมาณ 30 – 120 มก.
ชาเขียวมีดีตรงไหน 
ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งด้วยการฆ่าเซลมะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา เข้ากับประโยชน์ทีได้จากการดื่มไวน์ นักวิจัยสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ทั้งที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คำตอบก็คือ เป็นเพราะไวน์แดง ซึ่งมีสาร Resveratrol ที่เป็น Polyphenol ที่ลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ในการวิจัยเมื่อปี 1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม
ทำไมชาจีนอื่น ๆ จึงไม่ดีเท่าชาเขียว ชาเขียว ชาอูลอง และชาดำต่างก็มา จากใบของต้น Camellia Sinensis การที่ชาเขียวมีประโยชน์มากกว่า ก็เนื่องมาจากกระบวนการแปรรูป โดยใบชาเขียวจะถูกนำมาอบไอน้ำ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้สารประกอบ EGCG เข้ารวมตัวกับออกซิเจน ในทางตรงข้าม ใบชาอูลองและชาดำกลับเกิดจากการนำใบชาไปหมัก ซึ่งทำให้ EGCG ถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งแทบไม่มีประสิทธิภาพ ในการป้องกันหรือต่อสู้โรคใด ๆ เลย  สาร EGCG นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลี่ฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวางและหลายการวิจัยก็พบว่า สาร EGCG ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่ 
1. มีส่วนช่วยในขบวนการ การกำจัดไขมันโคเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง จากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด

2. ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
3. ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร EGCG ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมายเช่น สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน (Vitamins) เกลือแร่ (Minerals) และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย
ประโยชน์อื่น ๆ 
มีหลักฐานใหม่ ๆ ที่แสดงว่า ชาเขียวสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ ในเดือนพฤศจิกายน 1999 วารสาร The American Journal of Clinical Nutrition ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในสวิสเซอร์แลนด์ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มทั้งสารสกัดคาเฟอินและชาเขียว มีการเผาไหม้แคลลอรี่มากกว่า คนที่ได้คาเฟอินอย่างเดียว นอกจากนั้น ชาเขียวยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย ความสามารถในการทำลายแบคทีเรียของชาเขียว สามารถป้องกันอาหารเป็นพิษได้ และยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปาก ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ถนอมผิว ที่มีส่วนผสมของชาเขียว ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาดับกลิ่นตัวหรือครีม บำรุงผิว ก็เริ่มมีวางขายในตลาด
คุณควรดื่มชาเขียวมากเท่าไร 
คำตอบมีมากพอ ๆ กับจำนวนการวิจัยเรื่องคุณสมบัติของชาเขียว เช่น นิตยสาร Herbs for Health อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่า คนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวันถึง 3 ปี (มี Polyphenol ประมาณ 240-320 มก. ในชาเขียว 3 แก้ว) ขณะเดียวกัน การศึกษาของมหาวิทยาลัยCleveland's Western Reserve สรุปว่า การดื่มชาเขียวสี่แก้วหรือมากกว่านั้น จะช่วยป้องกันโรคปวดข้อ หรือลดอาการปวดใน กรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบันวิจัยมะเร็ง Saitama พบว่า การเกิดโรคมะเร็งเต้านม หรือ การขยายตัวของโรคนั้น จะน้อยลงในผู้หญิงที่มีประวัติดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อ 1 วัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มีการศึกษาเรื่องคุณสมบัติการป้องกันมะเร็งของชาเขียว พบว่าคุณสามารถได้รับปริมาณ Polyphenols ในปริมาณที่ต้องการได้โดยดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับกล่าวว่า หากต้องการให้ได้ประโยชน์สูงสุดแล้วล่ะก็ จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10 ถ้วยเลยทีเดียว ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเพียง 4-5 ถ้วยต่อวัน ดูจะปลอดภัยที่สุด และถ้าคุณจริงจังกับการดื่มชาเขียวมาก ก็อาจจะดื่มได้มากกว่านั้น แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยขึ้นอย่างไรนั้นก็คงต้องรอผลการวิจัยอื่น ๆ ต่อไป
ชาเขียวมีผลร้ายบ้างหรือไม่ 
จนถึงปัจจุบัน ผลด้านลบที่พบจากการดื่มชาเขียวคืออาการนอนไม่หลับ เนื่องมาจากคาเฟอิน อย่างไรก็ตาม ชาเขียวยังมีคาเฟอินน้อยกว่ากาแฟ คือประมาณ 30-60 มก. ต่อชา 6-8 ออนซ์ เมื่อเทียบกับจำนวนคาเฟอิน กว่า 100 มก. ที่พบในกาแฟ 8 ออนซ์